
ในปัจจุบันการใช้วัสดุและอุปกรณ์ในการใช้งานมีมากขึ้นรวมถึงชนิดของไม้ที่ใช้ทั่วไปมีประเภทไม้เนื้ออ่อน ไม้แข็งปานกลาง รวมถึงไม้เนื้อแข็ง ในการเคลือบสีผิวของผลิตภัณฑ์ไม้ จึงมีความสำคัญและมีความแตกต่างกันจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ในส่วนประกอบของสารเคลือบสีผิวมากขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีเทคนิคการเคลือบแบบใหม่ๆ และวิธีการทำงานเครื่องมือที่ใช้ เพื่อให้งานที่ออกมามีคุณภาพและประหยัดในการใช้วัสดุที่ใช้เคลือบสีผิวที่จะต้องมีความรู้เพื่อพัฒนาสินค้าให้มีการแข่งขันในเชิงธุรกิจและมีคุณภาพมากขึ้น
ลักษณะของไม้เมื่อดูตามโครงสร้างของไม้
ประเภทและคุณลักษณะของไม้
ไม้มีอยู่หลายชนิดทั้งไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อแข็งปานกลาง ไม้เนื้อแข็งทั้งมีลายไม้ และไม่มีลายไม้ สีและคุณภาพของไม้แตกต่างกัน ไม้ที่ธรรมชาติสร้างมาจะมีลายไม้สวยโดยธรรมชาติ ถ้าทำสีธรรมชาติจะสวยงาม เช่น ลายไม้สัก ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้ชิงชัน ไม้สาทร ไม้ยางพารา แต่ถ้าไม้เหล่านี้มีลายไม่สวยก็สามารถมาย้อมได้ทำให้สีสวยงามเกิดขึ้นได้ เช่น ไม้ทุเรียน ไม้กระท้อน ไม้สนหรือไม้ยางพารา แต่ถ้าเป็นไม้ที่ไม่มีลายไม้เลยก็สามารถทำสีทึบไม่ให้เห็นเสี้ยนไม้ เช่น ไม้ยาง ไม้ตรงจีน
ตามปกติในเนื้อไม้จะมีความชื้นอยู่ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในการนำมาทำผลิตภัณฑ์ ไม้ชนิดที่มีความชื้นสูงมากจึงควรจะอบหรือปล่อยให้ความชื้นในเนื้อไม้ลดลงประมาณ 6-8% ก่อนที่จะนำไม้นั้นมาทำเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งพบว่า ทุกๆความชื้นของไม้ที่เปลี่ยนไป 4% ไม้จะมีการเคลื่อนที่ (ขยายหรือหดตัว) 1% หากอบไม้ไม่ดีพอจะก่อให้เกิดปัญหาภายหลังจากการเคลือบสีผิว คือ เมื่อความชื้นในเนื้อไม้ลดลงภายหลังการเคลือบสีผิวแล้วจะทำให้สีที่เคลือบนั้นเกิดการแตกตามการหดตัวของไม้ การอบไม้ให้แห้งจึงเป็นการเตรียมที่สำคัญยิ่งก่อนที่จะมีการเคลือบสีผิวไม้
วัตถุประสงค์ของการเคลือบสี
1. ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับวัสดุนั้นๆ (Protection)
ปกติไม้มีรูพรุน จะเกิดการยืดตัวและหดตัวตามอุณหภูมิและความชื้น ทำให้ไม้แตก และมีเชื้อราเกิดขึ้น ทำให้ไม้มีอายุสั้นลง การเคลือบสีจะช่วยป้องกันความชื้นได้ ไม่ว่าสภาพภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้นเป็นอย่างไร
2. ทำให้สวยงาม (Decoration)
2.1 ด้านสี ตั้งแต่การเคลือบสีไม้เป็นสีตามที่ต้องการ เช่นสีทึบ ขาว ดำ แดง หรือการเปลี่ยนสีไม้โดยการลงสีย้อมไม้ จากไม้ยางพาราเป็นสีไม้โอคหรือเป็นไม้วอลนัทเป็นต้น
2.2 ลายไม้ สามารถรักษาลายไม้เดิมไว้ หรือสร้างลายไม้ใหม่ได้ตามที่ต้องการ
2.3 ความเงา-ด้าน สามารถปรับระดับความเงา-ด้านของชิ้นงานตามที่ต้องการ
3. วัตถุประสงค์เฉพาะอื่นๆ
เช่นต้องการความแข็ง ต้องการทนทานต่อการขูดขีด ทนต่อสารเคมี ลดการลุกลามของไฟ
การเลือกใช้สารเคลือบสีผิว
การเลือกใช้สารเคลือบผิว จะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของงานว่าจะต้องการผลลัพท์ที่ออกมาแบบใด โดยพิจารณาเลือกจากรายการต่อไปนี้
1. ลักษณะสีตามการมองเห็นพื้นผิวชิ้นงาน หลังจากเคลือบสีเรียบร้อยแล้ว
1. สีใส (Clear or Transparent) คือสีที่มีลักษณะใส เมื่อเคลือบลงบนชิ้นงาน จะมองเห็นพื้นผิวชิ้นงานเหมือนเดิม ไม่มีอะไรปิดบัง
2. สีโปร่งแสง (Translucent) คือสีที่มีลักษณะกึ่งใสกึ่งทึบ จึงเรียกว่าสีโปร่งแสง เมื่อเคลือบลงบนชิ้นงาน จะปิดบังพื้นผิวชิ้นงานอยู่บ้าง แต่ยังพอมองเห็นชิ้นงานเดิมอยู่
3. สีทึบ (Opaque) คือสีที่เคลือบลงบนชิ้นงานแล้ว ไม่สามารถมองเห็นพื้นผิวชิ้นงานเดิม

2. ลักษณะของพื้นผิวชิ้นงาน โดยดูปริมาณสีในร่องเสี้ยนไม้ (Wood grain or wood pore) หลังจากเคลือบสีเรียบร้อยแล้ว
เปิดร่องเสี้ยน (Open Pore) คือการเคลือบสีบางๆ หลังจากเคลือบสีแล้ว ยังเห็นร่องเสี้ยนของไม้อยู่ลึก (ความหมายเดียวกับคำว่า ไม่เต็มร่องเสี้ยน)
กึ่งเปิดร่องเสี้ยน (Semi open pore) คือการเคลือบสีความหนาปานกลาง ยังเห็นร่องเสี้ยนไม้อยู่เล็กน้อย เกือบเต็มร่องเสี้ยน (ความหมายเดียวกับคำว่า กึ่งเต็มร่องเสี้ยน)
ปิดร่องเสี้ยน (Close pore) คือการเคลือบสีความหนามาก เพื่อปิดร่องเสี้ยนไม้ จนไม่เห็นร่องเสี้ยนของไม้เลย (ความหมายเดียวกับคำว่า เต็มร่องเสี้ยน)
3. ลักษณะของพื้นผิวชิ้นงาน โดยดูปริมาณความเงาของชิ้นงาน หลังจากเคลือบสีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอาจมีวิธีจัดแบ่งแตกต่างกัน ในที่นี้อาจแบ่งได้ดังนี้
ประเภทเงามาก (High gloss) เมื่อวัดระดับความเงา หลังจากเคลือบสีแล้ว จะมีระดับความเงามากกว่า 80%
ประเภทเงา (Gloss) เมื่อวัดระดับความเงา หลังจากเคลือบสีแล้ว จะมีระดับความเงา 70-80%
ประเภทกึ่งเงา (Semi gloss) เมื่อวัดระดับความเงา หลังจากเคลือบสีแล้ว จะมีระดับความเงา 40-60%
ประเภทด้าน (Matt) เมื่อวัดระดับความเงา หลังจากเคลือบสีแล้ว จะมีระดับความเงา 10-40%
ประเภทด้านมาก (Full matt) เมื่อวัดระดับความเงา หลังจากเคลือบสีแล้ว จะมีระดับความเงา 1-9%
4. ลักษณะของการใช้งาน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
งานภายใน (Interior) หมายถึง งานที่ภายในอาคาร อยู่ในร่ม ไม่สัมผัสกับแสงแดด
งานภายนอก (Exterior) หมายถึง งานภายนอกอาคาร ที่สัมผัสกับแสงแดดโดยตรง โดยสีประเภทนี้ ต้องทนทานต่อแสงแดดหรือแสงยูวี (Ultraviolet)ที่จะไปทำลายฟิล์มสี ทำให้ประสิทธิภาพของสีลดลงเช่น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสีไปจากเดิม สีแตก หลุดร่อน ความเงาลดลง เป็นต้น เราสามารถใช้สีภายนอกกับงานภายในได้ แต่ห้ามใช้สีภายในกับงานภายนอก
5. ลักษณะของระบบของสีหรือตัวทำละลาย โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ระบบสีน้ำ (Water base) คือระบบที่ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย
ระบบสีน้ำมันหรือระบบโซว์เวนท์ (Solvent base) คือระบบที่ใช้โซว์เวนท์เป็นตัวทำละลาย
Yorumlar